วันที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 15:34 น.
เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 8 ก.ค. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีประชาชน พร้อมนักศึกษา คณาจารย์ และทนายจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน กว่า 30 คน รวมทั้งญาติของนักศึกษากลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ทั้ง 14 คน ซึ่งถูกข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคสช. และกฎหมายอาญา ม.116 จากการเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้มารอต้อนรับการปล่อยตัว หลังศาลทหารยกคำร้องในการขอฝากขังจากพนักงานสอบสวนผลัดที่ 2 ครบ 12 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำนักศึกษาชาย 13 คน ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขึ้นรถตู้มาปล่อยตัวที่ด้านหน้าทางเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ริมถนนงามวงศ์วาน จากนั้น ทั้งหมดได้ก้าวลงจากรถตู้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมชูมือ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องไชโยของประชาชนและญาติพี่น้องที่มารอรับ พร้อมทั้งโผเข้ากอดกันระหว่างเพื่อนและครอบครัวด้วยความดีใจ
ขณะที่นักศึกษาหญิงอีก 1 คน คือ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือน้องลูกเกด ที่ถูกคุมขังที่ทัณฑสถานหญิง มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่นำตัวออกแยกออกไปส่งที่บ้านพักของแฟนหนุ่มก่อนหน้านั้น จึงสร้างความไม่พอใจให้กับนางลมุล แจ้งเร็ว แม่ของน้องลูกเกดที่มารอรับอยู่ที่ด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติตามที่ประสานงานการปล่อยตัวไว้ล่วงหน้า
ต่อมา นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกขบวนการประธิปไตยใหม่ที่ถูกคุมขัง เปิดเผยว่า ตนและเพื่อนๆ ทั้งหมดยังมีกำลังใจดี ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความห่วงใยที่ร่วมกันเรียกร้องสิทธิเสรีภาพมาตลอด 12 วัน ตั้งแต่พวกตนถูกจับกุมคุมขัง ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการดูแลจากผู้คุมเป็นอย่างดี มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ส่วนการปล่อยตัวนั้น ผู้คุมเรือนจำได้ปลุกตนตั้งแต่เวลา 04.30 น. โดยให้เตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า และพาขึ้นรถตู้ตั้งแต่ภายในเรือนจำ ก่อนนำมาปล่อยที่ด้านนอก
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า สำหรับการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ที่พวกตนเคลื่อนไหวมาตลอดจะยังดำเนินต่อไป ตราบใดที่สังคมไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย และยังถูกปกครองโดยเผด็จการ ยืนยันว่าจะไม่มีการหลบหนีไปไหน เพราะพวกตนประกาศมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า เชื่อมั่นในแนวทางสันติวิธีและยินดีให้ถูกจับกุม เพื่อพิสูจน์ให้ทั่วโลกเห็นว่า สังคมไทยปัจจุบันเป็นอย่างไร ส่วนฝ่ายที่พยายามจะทำลายชื่อเสียงของพวกตนขอให้ใช้ปัญญาคิดทบทวนดูว่า สิ่งที่พวกตนทำนั้นเป็นความรุนแรงหรือไม่อย่างไร อีกทั้งมีคนพยายามจะดิสเครดิตพวกตนว่า รับงานชาวต่างชาติมาเคลื่อนไหว ซึ่งตนได้แต่หัวเราะ เพราะว่าเบื้องหลังของตนที่แท้จริง คือหลักการ 5 ข้อ ได้แก่ ประชาธิปไตย ความยุติธรรม สิทธิมุนษยชนสิทธิชุมชน การมีส่วนร่วม และสันติวิธี
“เจ้าหน้าที่หรือคนที่ต่อว่าพ่อแม่และพวกตนว่าอบรมเลี้ยงดูกันไม่ดี ไม่เรียนหนังสือ ออกมาต่อต้าน คสช. อยากให้รู้ว่า การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตยที่พวกตนกำลังทำอยู่นั้น เป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ที่ทั้งพ่อแม่ และทุกคนในสังคมกำลังเรียนรู้ไปพร้อมกัน จึงขอให้หยุดการข่มขู่คุกคามและหันมาเปิดใจเรียนกรู้ร่วมกัน” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน เปิดเผยว่า แม้ผู้มีอำนาจจะพยายามหยุดพวกตนทุกวิถีทาง แต่ขอให้รู้ว่าเมื่อสำนึกของประชาชนตื่นแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้ การคุมขังก็ขังได้เฉพาะร่างกายเท่านั้น แต่ไม่อาจทำลายความร่าเริงที่พวกตนมีมาเสมอในการต่อสู้เรียกร้องเพื่อความเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณชาวบ้าน และเพื่อนๆ นักศึกษาทุกคนที่มาเยี่ยมเยือนที่เรือนจำ และส่งกำลังใจมาให้ ส่วนการเคลื่อนไหวหลังจากนี้ จะมีการประชุมกับเพื่อนๆ ก่อน เนื่องจากตอนอยู่ในคุก แต่ละคนถูกจับแยกแดน เลยไม่ได้ปรึกษากันไว้ล่วงหน้า
“ยืนยันว่าจะไม่มีการหลบหนีแน่นอน เพราะตัดสินใจต่อสู้แล้วก็ต้องสู้ไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ และจะไม่เจรจาไม่ประนีประนอมอีก เพราะการอยู่ในคุกมาถึง 12 วัน ทำให้พวกตนแข็งแกร่งขึ้น แม้จะต้องถูกจับกลับเข้าไปอีกก็พร้อมเสมอ เมื่อสังคมยังไม่มีสิทธิเสรีภาพ จะอยู่นอกคุกหรือในคุก ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่” ไผ่ ดาวดิน กล่าว
ต่อมาเวลา 06.45 น. น.ส.ชลธิชา หรือ น้องลูกเกด เดินทางมาถึงที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมแฟนหนุ่ม โดยนางลมุล มารดา ได้โผเข้ากอดด้วยความดีใจ ขณะที่น้องลูกเกดอยู่ในสภาพร่างกายที่ทรุดลง มีอาการชาที่ขาและแขน ต้องเดินกะเผลก เนื่องจากผลของการถูกเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมมีการฉุดกระชากร่างกายรุนแรง ที่หน้าหอศิลป์ กทม. เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา
น.ส.ชลธิชา กล่าวว่า ขอบคุณที่พ่อแม่พี่น้อง และเพื่อนๆ มารอต้อนรับ ปัญหาตอนปล่อยตัวเมื่อเช้ามืด เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะพาตนไปส่งที่บ้าน แต่ตนเป็นผู้หญิงคนเดียว ด้วยความกลัว จึงต้องโทรศัพท์ไปหาแฟนว่าเจ้าหน้าที่ปล่อยตัวแล้วจะพาไปส่ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทราบว่าได้ประสานกับแม่ตนว่า จะนำมาส่งที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในเวลา 06.00 น. พร้อมเพื่อนคนอื่นๆ ทำให้แม่ตนกังวลใจเสียอย่างมาก จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ออกมาขอโทษแม่ตนด้วย เพราะแม่กำลังรอรับอยู่ และเจ้าหน้าที่ก็ควรปล่อยตนในที่สาธารณะที่มีคนอยู่จำนวนมาก ไม่ใช่พาออกไปแบบลับๆ
ด้านนายอนุสรณ์ อุณโณ อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวแทนกลุ่มเครือข่ายคณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ที่ถูกคุมขัง ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า เนื่องจากศาลทหารได้มีคำสั่งยกคำร้องของพนักงานสอบสวน ที่ให้ฝากขังนักศึกษาทั้ง 14 คนอีกหนึ่งผลัด เป็นผลให้นักศึกษาทั้ง 14 คนได้รับการปล่อยตัว คณาจารย์ผู้ห่วงใยศิษย์ ขอแสดงความขอบคุณต่อนักศึกษา นักคิด นักเขียน กวี นักแปล ศิลปิน นักเคลื่อนไหวองค์กรพัฒนาเอกชนและประชาชนจำนวนมากมายที่ให้การสนับสนุนแก่ นักศึกษาทั้ง 14 คน และได้ร่วมกันเรียกร้องให้ปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข ปราศจากการผลักดันของท่านเหล่านี้แล้ว
นักศึกษาทั้ง 14 คนก็คงจะต้องถูกคุมขัง สูญเสียอิสรภาพต่อไปอีก ยิ่งกว่านั้น ประสบการณ์รูปธรรมที่เราได้พบจากการร่วมกันช่วยเหลือนักศึกษาในครั้งนี้ ทำให้เราเล็งเห็นความเป็นไปได้ที่ พลังสังคมฝ่ายต่างๆ ที่อาจมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกันจะก้าวข้ามความแตกต่างนั้นมา ร่วมมือร่วมใจกัน บนพื้นฐานหลักการอันถูกต้องดีงามและฉันทามติในการปกป้องผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ปรากฏการณ์ อันทรงคุณค่าที่ไม่ค่อยได้พบเห็นในท่ามกลางความแตกต่างขัดแย้งทางการเมืองใน ระยะที่ผ่านมานี้น่าจะเป็นพื้นฐาน ให้สร้างเสริมการสัมพันธ์แลกเปลี่ยนและร่วมมือร่วมใจกันผลักดันสิ่งที่ถูก ต้องดีงามเพื่อส่วนรวมต่อไปในภายหน้า
นายอนุสรณ์ ระบุว่า อย่างไรตาม เนื่องจากพนักงานสอบสวนยังคงไว้ซึ่งข้อกล่าวหาต่างๆ ทั้งในคดีนี้และคดีอื่นก่อนหน้า จึงยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีการนำเอาคดีการเมืองเหล่านี้ขึ้นมาดำเนินการ กับนักศึกษาทั้ง 14 คนอีกเมื่อใดก็ได้ อีกทั้งยังอาจมีการคุกคามสวัสดิภาพของนักศึกษาด้วยวิธีการอื่นๆ อีก คณาจารย์จะยังคงรวมตัวกันในเครือข่ายเพื่อเฝ้าติดตามสวัสดิภาพของนักศึกษาต่อไป
“พวกเราขอเรียกร้องให้ยุติการคุกคามนักกิจกรรมและเครือข่ายโดยเฉพาะการออก หมายเรียกตัวนายบารมี ชัยรัตน์ และผู้จัดการสวนเงินมีมา ในข้อหากระทำการขัดต่อความมุ่งหมายของ รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นการกล่าวหาเกินจริงและเป็นการคุกคามในลักษณะหนึ่ง นอกจากนั้น จนถึงบัดนี้ยังมีการคุกคามคณาจารย์ในต่างจังหวัดในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์ เข้าพบสอบถาม หรือกระทั่งขอนัดประชุมกับคณาจารย์ที่ร่วมลงชื่อและรณรงค์กับพวกเรา ขอย้ำว่าให้ฝ่ายทหารและเจ้าหน้าที่อื่นๆ ยุติการกระทำดังกล่าวโดยทันที คณาจารย์ขอยืนยันว่า เราเป็นเพียงอาจารย์ที่รวมตัวกันด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจในศิษย์ที่ เคลื่อนไหวโดยเปิดเผย บริสุทธิ์ใจ และชอบธรรม ตามสิทธิเสรีภาพอันพึงมีและเรายินดีที่จะสื่อสารแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความ เข้าใจที่ถูกต้องระหว่างกันในเงื่อนไขที่เปิดเผย รับฟัง จริงใจ” นายอนุสรณ์ กล่าว
ด้านนางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมดเกด อัคฮาด เหยื่อสลายการชุมนุม เดือน พ.ค. 2553 ที่เดินทางมาต้อนรับนักศึกษาสู่อิสรภาพ กล่าวว่า ยินดีกับน้องๆ ที่ได้ออกมาสู้โลกภายนอก ซึ่งตนเข้าใจหัวอกผู้ปกครองทั้งหมดที่ลุ้นมาตลอดว่าพวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวหรือไม่ ในด้านหนึ่ง ตนจึงมองว่า คสช.พยายามลดความตึงเครียดลง เพราะภาพลักษณ์ประเทศไทยในสายตาต่างชาติ โดยเฉพาะนักสิทธิมนุษยชน กำลังแย่ลงมาก จึงขอให้คสช.เข้าใจเจตนาบริสุทธิ์ของนักศึกษาว่าการเรียกร้อง และการเคลื่อนไหวที่พวกเขาทำนั้นเป็นความชอบธรรม ไม่ได้มีการใช้ความรุนแรงแต่ประการใด
นางพะเยาว์ กล่าวต่อว่า หากคสช. ต้องการเห็นสังคมไทยปรองดองได้จริง ต้องมีพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้แสดงออก โดยเฉพาะพวกนักศึกษา เพราะความคิดของพวกเขาบริสุทธิ์ ไม่ใช่แกนนำมวลชนของเสื้อสีใดสีหนึ่งหนึ่ง ตนอยากให้ผู้มีอำนาจทบทวนเหตุการณ์ ปี 2553 ที่มีคนบริสุทธิ์ถูกยิงตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งชัดเจนที่สุดคือลูกตน กรณี 6 ศพ วัดปทุมวนาราม เพราะการปั้นข่าวเท็จ และการสร้างผังล้มเจ้าของ ศอฉ. ทำให้นำมาสู่การล้อมปราบอย่างโหดเหี้ยม โดยที่ ศอฉ. ก็ออกมายอมรับภายหลังว่าเป็นเรื่องแต่ง ซึ่งปัจจุบันนี้สิ่งที่พวกนักศึกษากำลังทำนั้น ก็กำลังถูกใส่ร้ายอยู่เช่นกัน ด้วยการกุข่าวว่ามีผู้อยู่เบื้องหลัง ขอให้ผู้มีอำนาจศึกษาประวัติศาสตร์ให้ถ่องแท้ด้วย
6:49 PM
specialshowtoday





Posted in



0 comments:
Post a Comment